วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มังคละเภรี


 หากจะกล่าวว่า “กลอง” เป็นเครื่องดนตรีอันดับต้นๆ ที่กำเนิดขึ้นบนโลกนี้ก็คงจะไม่ผิด หากมีการค้นพบแหล่งโบราณสถานใดที่ใดๆในโลก กลองก็จะเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกค้นพบ สันนิษฐานว่า นอกจากจะใช้ตีเป็นจังหวะประกอบการบรรเลงเครื่องดนตรีเพื่อการเซ่นสรวงบูชา พิธีกรรมทางศาสนา ความบันเทิงแล้ว กลองยังมีบทบาทในการเป็นเครื่องหมายแห่งการบ่งบอกสัญญาณต่างๆ อีกด้วย
  มังคละเภรี เป็นชื่อของวงดนตรีพื้นบ้านที่เก่าแก่และทรงคุณค่าของกลุ่ม 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่างของลุ่มน้ำยมและน่าน ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอุตรดิตถ์ เครื่องดนตรีประกอบวงมังคละเภรี ได้แก่ กลองมังคละ (จ๊ดโกร๊ก,ต๊กโตร๊ก,อีล๊ก,บังคละฯลฯ)  1 ใบ กลองสองหน้า 2 ตัว (ตัวผู้ เรียกกลองหลอน ตัวเมีย เรียกกลองยืน) ฆ้องโหม่ง 3 ใบ ฉาบ 2 ตัว  (ฉาบใหญ่หรือฉาบยืน และฉาบเล็กหรือฉาบล่อ)
หากเดินทางไปในเขตอำเภอเมืองและอำเภอพรหมพิราม ของจังหวัดพิษณุโลก อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย หรืออำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ จะมีโอกาสได้ยินเสียงของวงดนตรีพื้นบ้านอีกประเภทหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนวัฒนธรรมร่วมของพี่น้องใน 3 จังหวัดลุ่มน้ำยมและน่านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยเสียงที่แปลกหูจากกลองตัวเล็กๆคล้ายกลองยาว ตีด้วยไม้หวายพันเชือกแทนมือ แต่มีเสียงดังกังวาลจนน่าประหลาดใจ ดังโกร๊กๆๆๆ ผสมผสานกับกลองสองหน้าคล้ายกลองแขกที่คอยตีขัดกัน ทั้งยังมีฆ้องโหม่งแขวนอยู่บนคานหามสวยๆ 3 ลูก เสียงปี่ที่ดังกึกก้องเสมือนการเชิญชวน บวกฉาบเล็ก ฉาบใหญ่อย่างละคู่ บรรเลงอย่างสนุกเร้าใจให้บรรดานางรำรุ่นใหญ่ที่อยู่หน้าขบวนร่ายรำกันอย่างสนุกสนาน
มังคละคืออะไร จากการพูดคุยกับบรรดาชาวบ้านที่เคยได้เห็น ได้ยินกันมาต่างก็เล่าว่า มังคละเป็นชื่อของวงดนตรีเก่าแก่ที่เล่นกันมากใน 3 จังหวัด ไม่รู้ว่ามาจากไหน เกิดมาก็พบเห็นและได้ยินแล้ว แต่ชื่อเรียกอาจมีต่างกันไปบ้าง ส่วนใหญ่จะเรียกกันตามเสียงของกลองมังคละว่า โกร๊กบ้าง จ๊ดโกร๊ดบ้าง แต่เครื่องดนตรีเป็นชนิดเดียวกัน เล่นกันมากในงานบุญ ทั้งแห่พระ กฐิน ผ้าป่า บวชนาค ขึ้นบ้านใหม่ งานเทศกาลต่างๆ หรืองานศพก็มีบางบ้านเอาไปเล่นแต่ตัดกลองตัวเล็กออกไป คือใช้ทั้งงานมงคลกระทั่งงานอวมงคลนั่นแหละแต่รูปแบบการบรรเลงก็แล้วแต่บ้านใครบ้านมันจะคิดชื่อ ลูกเล่นที่แปลก พิศดารตามจินตนาการของแต่ละวง
เครื่องดนตรีของแต่ละประเทศแต่ละวัฒนธรรมในโลกนี้ ได้มีระเบียบการจัดหมวดหมู่ของเครื่องดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละประเทศ ซึ่งมีเหตุผลและวัตถุประสงค์ในการจัด  ที่แตกต่างกันออกไป เช่น เพื่อการจัดวงดนตรี เพื่อการพิพิธภัณฑ์ ฯลฯ การจัดหมวดหมู่นั้นก็เพื่อให้เกิดความสะดวกในการศึกษาและทำความเข้าใจในเครื่องดนตรีของแต่ละประเทศ แต่ละวัฒนธรรม การจัดหมวดหมู่ของเครื่องดนตรีของอินเดียมีอยู่ด้วยกันหลายระบบ ระบบของท่านภรตมุนี จัดว่าเป็นระบบที่เก่าแก่มากที่สุดในโลก ความคิดในการจัดหมวดหมู่ตามระบบนี้ปรากฎพบเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนในตำรา “นาฏยศาสตร์” ซึ่งท่านภรตมุนีได้ร้อยรจนาขึ้นเมื่อช่วงระยะเวลาประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราชถึง 200 ปีหลังคริสต์ศักราช หลักเกณฑ์ในการจัดหมวดหมู่ตามระบบดังกล่าวนี้ได้ปรากฎพบอีกครั้งหนึ่งในตำราเฉพาะทางดนตรีชื่อ “สังคีตรัตนากร” ซึ่งรจนาโดยท่านศรางคเทพ ในประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นเล่มเดียวกับที่สมเด็จ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอ้างถึง ระบบดังกล่าวแบ่งเครื่องดนตรีเป็น 5 หมวดหมู่ ได้แก่
ตะตะ (Tata) Plucked Stringed Instruments
สุษิระ (Sushira) Blown Air
        กิจกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์นั้น มักจะใช้ดนตรีเพื่อปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมหรือการทำงาน การเต้นรำและเทคนิคการเคลื่อนไหวร่างกายทั้งหลายมักจะใช้ดนตรีเป็นสื่อในการแสดงเพื่อทำให้นักดนตรีตระหนักถึงตัวตน หากพิจารณาตามคำนิยามที่ว่าด้วยดนตรีพื้นบ้านหรือ
โฟล์กมิวสิคจากหนังสือเอนไซโคพีเดีย บริทานิก้า (
Encyclopaedia Britanica )( พบว่าดนตรีพื้นบ้าน มีลักษณะสรุปได้ดังนี้
            1) ดนตรีพื้นบ้าน คือ เสียงดนตรีที่ถ่ายทอดกันมาตามประเพณีมุขปาฐะ เรียนรู้ผ่านการฟังมากกว่าการอ่าน
2) ดนตรีพื้นบ้านเป็นสมบัติของชาวบ้าน เป็นเพลงที่สร้างสรรค์ใหม่ของกลุ่ม
             3) หน้าที่ของดนตรีมิได้เกิดขึ้นเพื่อความบันเทิงเป็นสำคัญ แต่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรอื่น เช่นพิธีกรรม การทำงาน การเต้นรำ ฯลฯ ในสังคมชาวบ้านแบบดั้งเดิม ดนตรีเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในพิธีกรรม และประเพณีต่าง ๆ เสมอดนตรีพื้นบ้าน แต่งขึ้นเฉียบพลันทันทีจากปฏิภาณของผู้เล่นโดยไม่มีการเขียนโน้ตเพลง ซึ่งต่างไปจากดนตรีซึ่งเล่นเพลงทั่วไป
ดนตรีมังคละ หรือมังคละเภรี ถือเป็นดนตรีพื้นเมืองซึ่งมีรากฐานมาจากดนตรีพิธีกรรมที่มีความสำคัญยิ่งของชาวภาคเหนือตอนล่าง มีรูปและวิธีการเล่นที่เป็นแบบฉบับของตนเองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยสุ้มเสียง  และลีลาที่รุกเร้า  จังหวะจะโคนที่ครึกครื้น  สนุกสนาน  มังคละจึงมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวภาคเหนือตอนล่างมานานโดยเฉพาะชาวจังหวัดสุโขทัย  พิษณุโลกและอุตรดิตถ์  บทบาทของวงมังคละใช้สำหรับการแห่หรือประกอบพิธีกรรมต่างๆ อันเกี่ยวกับศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี และใช้ประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวกับงานมงคลและงานอวมงคล เช่น งานกฐิน งานผ้าป่า งานตรุษสงกรานต์ งานบวช งานศพ และงานในเทศกาลต่างๆ  วงมังคละสามารถใช้บรรเลงได้ทุกโอกาสและสามารถใช้ประกอบการแสดงท่ารำด้วย สำหรับจังหวัดอุตรดิตถ์ นิยมเล่นงานแห่ต้นผึ้ง (วันเพ็ญเดือน 6) งานแห่ต้นเทียน งานแห่ธง ประเพณีสรงน้ำพระวันสงกรานต์ บวชพระ แห่นาค
คำว่า “มังคละ” ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง มงคลหรือเหตุที่นำมาซึ่งความเจริญ ซึ่งเป็นคำบาลีและสันสกฤต ชื่อของกลองมังคละหรือมังคละเภรี สันนิษฐานว่า ได้มาจากคำว่า “มงคลสูตร” ซึ่งผู้ทำกลองจารึกไว้บนใบตาลแล้วใส่ไว้ในกลอง
สุจิต์ วงเทศษ์ ได้กล่าวถึงลักษณะของมังคละเภรีว่า ในประเทศศรีลังกาซึ่งในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียตอนใต้ มีวงดนตรีที่มีรูปแบบของวงที่มีความคล้ายคลึงกับวงมังคละเภรีของประเทศไทย และมีชื่อเรียกว่า “วงมังคลเภรีและวงอวมังคลเภรี” เช่นกัน
ร่องรอยความเชื่อเกี่ยวกับประวัติ ความเป็นมาของดนตรีมังคละเภรี ที่สัมพันธ์กับพระพุทธศาสนา คือ ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงค์ แล้วเสด็จกลับลงมายังเมืองสังกัสสะนคร ขณะที่เสด็จลงมานั้น ได้มีคนธรรพ์มาขับร้องและบรรเลงดนตรีเพื่อเป็นพุทธบูชา ปี่กลองหรือดนตรีที่คนธรรพ์นำมาบรรเลงถวายนั้น มีลักษณะเหมือน เครื่องดนตรีของไทยที่เรียกว่า “มังคละ” ซึ่งแปลว่า ดนตรีที่มีความเป็นมงคล ซึ่งร่องรอยแห่งความเชื่อนี้มีความสัมพันธ์กับการบรรเลงมังคละเภรีของศรีลังกา ที่ใช้ในการตีประโคมบูชาพระเขี้ยวแก้วเพื่อเป็นพุทธบูชาเช่นเดียวกัน
รูปแบบของวงดนตรีในลักษณะของวงมังคละของชาวศรีลังกานั้นเป็นรูปแบบที่ปรากฏโดยทั่วไปในประเทศอินเดียตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งล้วนแต่มีจุดประสงค์หลัก คือ เพื่อแห่แหนและการเฉลิมฉลองด้วยกันทั้งสิ้น ในอดีตนั้นวงดนตรีลักษณะนี้ ปรากฏหลักฐานทางวรรณกรรม เช่น ในพระไตรปิฎก
รามเกียรติ และมหาภารตะยุทธ์ และหลักฐานทางจิตรกรรมฝาผนังที่ถ้ำอชันตะ ในปัจจุบันพบวงดนตรีที่มีรูปแบบและลักษณะที่คล้ายคลึงกับวงมังคละของประเทศไทยและประเทศศรีลังกาในประเทศอินเดีย ประกอบด้วย กลอง ฆ้องเหม่ง และปี่ลิ้นคู่ ซึ่งวงดนตรีดังกล่าวนี้ชาวอินเดียนิยมใช้บรรเลงในขบวนแห่เฉลิมฉลองในเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและงานรื่นเริงทั่วไป ได้แก่ วงปัญจวาทยะของรัฐโอริสสา
 (
The Panchavadva of Orissa) วงนายยันทิเมลัมของรัฐทมิฬนาดู (The Nayyandi Melam of Tamil Nadu)
การกำเนิดของศิลปะการแสดงมังคละเภรีในประเทศไทยนั้น จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สามารถสันนิษฐาน ว่ามีมูลเหตุ 3 ประการ คือ
1.การเสื่อมของศาสนาพราหมณ์
          จากประวัติศาสตร์และหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า ชาวอินเดียเป็นชนชาติแรกที่เดินทางสู่คาบสมุทรทางภาคใต้ของไทยมากที่สุด ชาวอินเดียเหล่านี้ได้นำศาสนาไปเผยแผ่ด้วย ศาสนสถาน ศิลปวัตถุ ดนตรี ศิลปะการแสดง พิธีกรรมและคติความเชื่อทั้งของศาสนาพราหมณ์- ฮินดูและศาสนาพุทธก็ปรากฏหลักฐานให้เห็นอยู่กระทั่งในปัจจุบันนี้ แต่เดิมชาติพราหมณ์น่าจะมีจำนวนมากทั่วสยามและบรรดา
พราหมณาจารย์น่าจะมีอำนาจในการปกครอง แต่แล้วอำนาจหรือความสำคัญทางการปกครองนั้นค่อย ๆ สลายไป โดยมีเจ้านายพื้นเมืองกับอุดมการณ์ในพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์มาทดแทน โดยมีหลักฐาน คือ ที่จังหวัดสุโขทัย มีเทวสถาน 3 แห่ง คือ วัดศรีสวาย 1 วัดพระพายหลวง (มีมาแต่ครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 12 สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2) และศาลตาผาแดง อันเป็นเทวสถานที่ปราชญ์ส่วนใหญ่ว่าเป็นของสมัยบายน (ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 12) ซึ่งสรุปได้ว่า  ทั้งสามแห่ง สร้างขึ้นมาเนื่องในศาสนาพราหมณ์และน่าจะสร้างขึ้นมาก่อนสมัยสุโขทัย ซึ่งล้วนแต่มีมาจากสมัยพระยาลิไท (กลางศตวรรษที่ 14)  และที่สำคัญก็คือผู้ที่ข้ามมหาสมุทรมาค้าขายและติดตั้งชุมชนชาวอินเดียในอุษาคเนย์น่าจะเป็นพ่อค้าและพราหมณ์  จากอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียที่ได้แผ่อิทธิพลเข้ามาสู่ดินแดนสยาม ซึ่งการเข้ามาของอารยธรรมอินเดียนี้ ได้มีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงหลายประการต่อสยามประเทศในขณะนั้น เช่น การเมือง การปกครอง ภาษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า อารยธรรมต่างๆของอินเดียได้เกิดการปะทะสังสรรค์ทางด้านวัฒนธรรมดนตรีด้วย และสันนิษฐานว่าวงมังคละเภรีนี้ไทยคงได้รับแบบแผนมาจากประเทศอินเดียนี่เอง
2. การเผยแผ่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากศรีลังกา
            พระพุทธศาสนาได้เข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันเมื่อประมาณ พ.ศ. 236 ซึ่งเป็นสมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ จำนวน 9 สาย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดีย ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ทั้ง 7 ประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย
เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงได้สดับถึงกิตติศัพท์ความงามของพระสงฆ์ลังกา จึงทรงอาราธนาพระมหาเถระสังฆราช ซึ่งเป็นพระเถระชาวลังกาที่มาเผยแผ่ในนครศรีธรรมราช ให้มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัยด้วย พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จึงได้เดินทางเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทย ถึง 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และครั้งที่ 2 ในสมัยของพระมหาธรรมราชาที่1(ลิไท) ซึ่งในครั้งนี้สันนิษฐานว่าพระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 93 (วัดอโสการาม) ว่า
 ทรงได้พระบรมธาตุมาแต่ลังกา 2 องค์” และ “พญาลิไทจะทรงผนวช จึงอัญเชิญมหาสามีสังฆราชจากลังกามาเป็นพระอุปัชฌาย์”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับดนตรีมังคละเภรีว่าเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อไรและเข้ามาจากแหล่งใด แต่หลักฐานจากจารึกแสดงว่า ในรัชสมัยของพระยาลิไทนั้น ได้ทรงนำพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์จากลังกาเข้ามา ดังที่ปรากฏข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 93 (วัดอโสการาม) ว่า “ทรงได้พระบรมธาตุมาแต่ลังกา 2 องค์” โดยเฉพาะองค์พระมหาสามีสังฆราชและพระผู้ใหญ่อีกหลายรูปก็มีการไปมาหาสู่กันระหว่างสุโขทัยกับลังกา
ดังนั้นการที่ดนตรีมังคละจะเข้ามาจากลังกาในสมัยพระยาลิไทนั้นมีความเป็นไปได้สูงสุด เพราะมีหลักฐานสนับสนุน คือ ดนตรีมังคละในลังกา ซึ่งจะพบเมื่อไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วตอนรุ่งอรุณ เวลาเพล หรือตอนอาทิตย์ตกดิน จะได้ยินเสียงกลองขนาดเล็กเสียงดังมาก รัวโกร๊กๆ โกร๊กๆ ขาดแต่ฆ้อง ของเขามีแต่ฉิ่งกับฉาบเป็น “ฆนํ” ดนตรีชนิดนี้ภาษาสิงหลเรียกว่า  “มคุล เพเร” ตรงกับบาลีว่า “มังคละเภรี” และไทยคือ “กลองมังคละ” (ดนตรีชนิดนี้มีประวัติความเป็นมาช้านาน เดิมทีเดียวเป็นของทหาร คล้ายกลองสะบัดชัยของเรา เป็นการประโคมดังและรวดเร็วเพื่อให้กำลังใจกองทัพฝ่ายเราและข่มขู่ศัตรูให้สะพรึงกลัว  ในขณะเดียวกันเอามาใช้ในวัง เพราะทหารเป็นฝ่ายถวายอารักขา เช้าเย็นจะมีการประโคมมังคละถวายบังคม ในขบวนเสด็จทหารจะนำหน้าโดยเป่าปี่ตีกลองและร่ายรำเป็นการสำแดงถึงพระเดชานุภาพ ที่ร่ายรำนั้นจะไม่ทำอ่อนหวานสวยงามแต่จะทำแบบดุร้าย ชูศอกชูเข่า ทำเป็นรำอาวุธต่างๆ ทำท่าผลักดันศัตรูตลอดจนตีลังกาก็มี ต่อมาภายหลังพระมหากษัตริย์ผู้ศรัทธาในพระศาสนา ทรงเห็นดนตรีมังคละและการรำมังคละเป็นของสูง จึงมีศรัทธาถวายวัด จึงกลายเป็นเครื่องประดับพระบารมีพระเขี้ยวแก้วและพระเจดียสถานที่สำคัญ ๆ จนถึงทุกวันนี้
นอกจากจะใช้ดนตรีมังคละในการประดับพระบารมีพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ชาวบ้านใน   ศรีลังกายังใช้ดนตรีมังคละในพิธีมงคลทุกชนิด เช่น เมื่อจะเผดียงพระไปสวดพระปริตต์ที่บ้านคหบดี ก็จะมีการจ้างวงมังคละนำหน้าในการแห่พระจากวัดตามคันนาไปถึงบ้าน เมื่อให้ติสรณะและปัญจศีลแล้วก็ให้มีการประโคมมังคละเพื่อเป็นการขับไล่เสนียดจัญไร และเป็นการอัญเชิญเทวดามาร่วมบุญร่วมกุศลด้วย ดนตรีชนิดนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น “มังคละ”
ไมเคิล ไรท์ ได้กล่าวถึงกลองมังคละในประเทศศรีลังกาว่า “วันรุ่งขึ้นหนีลงใต้สู่โรหณะชนบท ซึ่งเปรียบเสมือนแดนหลบภัยของกษัตริย์อนุราชปุระแดนที่อยู่ในการปกครองของสมเด็จมหาราช ผ่านแพทุลฺละ แวะชมวัดสยามวงศ์ ชาวบ้านแถวนั้นจัดงานทำบุญที่บ้าน พระจึงยกออกจากวัดเป็นขบวน มีวงมังคละนำหน้าเป็นเกียรติ”
การที่พระพุทธศาสนาเข้ามาแทนที่ศาสนาพราหมณ์ สามารถสะท้อนเหตุการณ์ในยุคนั้น ทั้งภายในและภายนอกว่า  เหตุการณ์ภายใน คือ พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์น่าจะมีบทบาทในการเป็นอุดมการณ์ที่ทดแทนอุดมการณ์ของพราหมณ์ได้ โดยส่งเสริมให้ชาวพื้นเมืองผู้ที่ไม่ได้เข้าสังกัดวรรณะทั้ง 4 สามารถขึ้นมาปกครองกันเอง ในขณะเดียวกันการที่พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ได้เจริญรุ่งเรืองในบ้านเมืองนี้ขึ้นมา ก็น่าจะสะท้อนการเติบโตของชนชั้นปกครองพื้นเมืองที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยพราหมณ์เป็นผู้นำในการจัดสังคม เพราะในสังคมแบบเก่านั้น มีความต้องการพราหมณ์เพื่อมาชี้ขาดว่าใครเป็นผู้ใหญ่ ใครเป็นผู้น้อย และรักษาสวัสดิศรีของบ้านเมืองด้วยการประกอบพิธีกรรมในสมัยหลังชาวพื้นเมืองสามารถกำหนดกันเองว่าใครเป็นใหญ่เป็นโตโดยอาศัยการวัดพระบารมี เกิดจากการทำบุญให้ทาน เหตุการณ์ภายนอก คือ ในการเปลี่ยนแปลงทางศาสนานั้นสามารถสะท้อนเหตุการณ์ในอินเดีย-ลังกา ในคริสต์ศตวรรษที่ 13ได้เป็นอย่างดี กล่าวคือ เมื่ออินเดียเหนือได้ถูกกองทัพอิสลามบดขยี้ และอินเดียก็ใต้ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ในเหตุการณ์ที่ระส่ำระสายเช่นนี้ ทำให้การติดต่อระหว่างอินเดียกับสยาม (และเขมร,ชวา) หายขาดไปช่วงหนึ่ง และการที่มีพราหมณ์ใหม่ ๆ เดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาฮินดู-พราหมณ์น้อยลง ประชากรพราหมณ์เก่ามีการแต่งงานกับหญิงพื้นเมืองมากขึ้น จนตระกูลกลายเป็นพราหมณ์ไทย  และอีกประการหนึ่ง คือ เมื่อราชวงศ์ต่างๆในอินเดียใต้เกิดการวิวาทอยู่นั้น เกาะลังกาซึ่งได้พ้นอันตรายและกำลังฟื้นตัวขึ้น และได้มีการก่อตัวเป็นกำลังภายใต้การปกครองของกษัตริย์ที่แข็งแรง จึงมีการแบ่งการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตกจากอินเดีย และส่งอิทธิพลทางศาสนามาถึงอุษาคเนย์ เพราะพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์นั้น ได้เผยแผ่เข้ามาสู่ศรีลังกาในพุทธศตวรรษที่ 3 ในระหว่างรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยาติสสะ (Davanumpiyatissa) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ร่วมสมัยกับพระเจ้าอโศกมหาราช 
เมื่อพุทธศตวรรษที่ 19 มีหลักฐานปรากฏว่า คนไทยได้ก่อตั้งแว่นแคว้นของตนเองขึ้นในเวลาไล่เรี่ยกันอย่างกว้างขวางทั่วไป นับจากเหนือสุดต่อจากดินแดนจีนเรื่อยลงมาทางใต้ตามแกนภูมิศาสตร์ เป็นแนวยาวลงไปเกือบสุดปลายของแหลมมลายู คือ นับจากสิบสองปันนา ล้านนา สุโขทัย ละโว้ สุพรรณภูมิ นครศรีธรรมราช เป็นต้น มีผลอย่างกว้างขวางมั่นคงในพุทธศตวรรษ 18-19 และภายหลังการทำสังคายนาครั้งที่ 4 ในลังกา ราว พ.ศ.1696 ครั้งพระเจ้าปรักกรมพาหุมหาราช ซึ่งได้แบบแผนในลัทธิพระธรรมวินัยสำคัญที่แพร่หลายเข้ามาในสยามประเทศ คือ มีพระสงฆ์ชาวมอญ พม่า ไทย เขมร ออกไปบวชแปลงในลังกาทวีปตั้งแต่ราว พ.ศ. 1700 เศษ ในขณะเดียวกันก็มีพระสงฆ์    ชาวลังกา เช่น พระราหุลเถระ พระพุทธคำเถียร และพระองค์อื่นๆอีกหลายรูปเป็นผู้เดินทางนำพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้ามาเผยแพร่ด้วย จึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์  ในขณะเดียวกันบทบาททางวัฒนธรรมของชาวอินเดียที่ศาสนาฮินดูสนับสนุนชนชั้นซึ่งเน้นทางโลกที่เคยเข้ามาเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนนานแล้วก็ได้เสื่อมไป พุทธศาสนาเถรวาท ลัทธิใหม่ของชาวลังกาซึ่งเน้นทางธรรมเข้ามาสวมบทบาทแทนอย่างกว้างขวางและรวดเร็วมาก พุทธศาสนานิกายมหายานและศาสนาพราหมณ์ที่เคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนจึงเสื่อมโทรมมากและแทบจะสูญไป แม้แต่พุทธศาสนานิกายเถรวาทนิกายดั้งเดิมก็หมดบทบาทลงเช่นกัน
ด้วยกระแสความนิยมที่มาอย่างรุนแรงของพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ กล่าวคือ นักบวชพราหมณ์ (บาคู-เขมร) เหลือน้อย ที่มีอยู่ก็เป็นเฉพาะเป็นที่ปรึกษาประจำราชสำนักเท่านั้น โดยเน้นพิธีสวดมนต์ ท่องบทคาถาวิเศษ ประกอบพิธีกรรมต่างๆทางไสยเวทย์ในแวดวงจำกัด เน้นส่งเสริมอำนาจบารมีทางการเมืองให้เฉพาะกษัตริย์ผู้ปกครองตามลัทธิเทวราชมากกว่า โดยที่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์และจิตวิทยาเข้าถึงสามัญชนได้อย่างสนิทแนบแน่นและมีอุดมการณ์ได้เลย ส่งผลให้ชาวลังกาผู้ที่เข้ามาใหม่ซึ่งเป็นผู้นำพุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ ที่ได้รับการสังคายนาใหม่ มีความถูกต้องและบริสุทธิ์ดีกว่าแล้ว เข้ามาทำการเผยแพร่โดยไม่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะใช้วิธีการเข้าหาประชาชนชั้นสามัญธรรมดา ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ มีพระสงฆ์เป็นผู้ชี้หนทางสว่าง มีความสามารถในการนำพระธรรมคำสอนมาอธิบายได้อย่างง่ายๆให้เข้าใจตามตรรกะว่า บาปและบุญคืออะไร มนุษย์ไม่ว่ายากดีมีจนทุกผู้ทุกนามล้วนอยู่ที่ผลของการกระทำดีชั่ว ซึ่งผลกรรมที่ได้รับจะเป็นอย่างไร ทำไมต้องมีศีล สมาธิและปัญญา (ไตรสิกขา) ชีวิตจะเป็นสุข มีความหลุดพ้น มีหลักธรรมปฏิบัติอะไรบ้าง ไตรลักษณ์และมัชฌิมาปฏิปทาคืออะไร เป็นต้น พระสงฆ์ชาวลังกานั้น คือ “นักเทศน์” ที่สามารถพูดภาษาถิ่น เล่าชาดกพุทธประวัติได้อย่างพิศดารและแตกฉาน จึงสามารถโน้มน้าวจิตใจ และสร้างความเชื่อถือแก่ชาวบ้านได้อย่างรวดเร็ว จากเหตุผลที่ลัทธิความเชื่อแบบเก่าถูกลดบทบาทและความเลื่อมใส ศรัทธาในการเผยแพร่พระธรรมของพระสงฆ์ชาวลังกา จึงส่งผลให้พุทธศาสนาเถรวาทจากลังกาซึ่งมุ่งการพึ่งพาตนเอง เน้นการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่มุ่งหวังแต่การอ้อนวอนเทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาล เป็นที่เคารพศรัทธา แพร่หลายกับราษฎรทุกหมู่เหล่ามากขึ้น ตั้งแต่ระดับสูงสุด ได้แก่กลุ่มชนชั้นปกครอง กษัตริย์ ผู้ปกครอง จนถึงไพร่ฟ้าประชาชนทั่วไป และพัฒนามาจนกลายเป็นศาสนาประจำชาติในกาลสืบมา
3.จารึกและหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรต่างๆที่กล่าวถึง
            บทเพลง ดนตรีและนาฏศิลป์ไทยในสยามประเทศนั้น ล้วนแต่ได้รับแบบแผนมาจากอินเดีย ตามแนวคิดเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสว่า Indianize States โดยผ่านมอญและขอม แนวคิดแบบ  ราชาชาตินิยมหรือราชสำนักนิยม ทำให้ยกย่องเพลง ดนตรีและนาฏศิลป์ของราชสำนักว่าเป็นต้นแบบของความเป็นไทย แล้วยกย่องเฉพาะราชสำนักสุโขทัยและอยุธยาแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาเท่านั้น แต่ไม่ยกย่องลุ่มน้ำอื่นๆ เช่น ลุ่มน้ำโขง, ชี, มูล ฯลฯ แนวคิดนี้ทำให้ยกย่องเฉพาะปี่พาทย์, มโหรี, เครื่องสาย เป็นดนตรีไทย แต่สะล้อ ซอ ซึง และ แคน-โปงลางเป็นพื้นเมือง หมายความว่าไม่ใช่ “ไทย”หลักฐานเป็นพันๆปีของเพลงดนตรีและนาฏศิลป์ไทยสยามสุวรรณภูมิมีทั่วไปและมีมากมายหลากหลายทั่วทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์
เพลงดนตรีและนาฏศิลป์ไทยสยามที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นผลของพัฒนาการยาวนานมาก อย่างน้อย 3,000 ปีมาแล้ว ฉะนั้นจึงไม่ใช่ของเดิมแท้ แต่เป็นสิ่งใหม่ที่มีรากเหง้าความเป็นมาหลายทิศทางและหลายอย่างเคล้าคละปะปนอยู่ด้วยกัน แต่อาจแยกได้อย่างน้อย 2 กลุ่ม ดังนี้
          1)พลงดนตรีและนาฏศิลป์ปัจจุบันมีทั้งสมบัติดั้งเดิมดึกดำบรรพ์อยู่ “ภายใน” กับแบบแผนต่างประเทศที่รับเข้ามาจาก “ภายนอก” ผสมผสานจนเป็นเนื้อเดียวกัน
2) ลักษณะผสมผสานระหว่างภายในกับภายนอกทำให้มีเพลงดนตรีและนาฏศิลป์อย่างน้อย 2 ระดับ คือ ระดับราษฎร์ (Little Tradition) อยู่กับชุมชนท้องถิ่นและระดับหลวง(Great Tradition) อยู่ในราชสำนักและชนชั้นสูงกับชนชั้นกลางหรือชนชั้นพิเศษ
ช่วงประมาณหลัง พ.ศ. 1000 หรือราว 1,500 ปีล่วงมาแล้วการค้าในโลกทางทะเลอันดามัน ได้นำพุทธศาสนา-พราหมณ์เข้ามาถึงดินแดนสุวรรณภูมิ พร้อมเพลงและดนตรีจากภายนอก คือ อินโด-เปอร์เซีย ซึ่งหมายถึง อินเดีย และอิหร่าน เครื่องมือสำคัญที่กลุ่มชนเหล่านี้ได้นำติดตัวมาด้วย คือ สรไน ซึ่งมีชื่อเรียกต่อมาภายหลังว่า ปี่ไฉน พร้อมด้วย เครื่องหนัง ได้แก่ กลองหลายชนิด เช่น กลองชนะ ฯลฯ ใช้บรรเลงรวมกันตามประเพณีอินโด- เปอร์เซียเรียกว่า “ปัญจตุริย” หรือ “เบญจดุริยางค์” ซึ่งประกอบไปด้วย ปี่ 1 เลา กับกลอง 4 ใบ โดยชาวพื้นเมืองเรียกในชื่อ กลอง 4 ปี่ 1 แต่บางท้องถิ่นมีเรียกชื่อไปต่างๆกัน เช่น ในจังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก เรียกว่า “มังคละ” ตามแบบลังกา ในภาคใต้เรียกว่า “กาหลอ” โดยตัดคำจากมังคละเดียวกัน  โดยที่ในระยะเวลาต่อ ๆ มาได้ปรากฏว่ามีเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ อันได้แก่ ดนตรี ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือทางศาสนาทยอยแพร่   เข้ามา เช่น แตร, สังข์, บัณเฑาะว์, มรทิงค์ (ตะโพน) ฯลฯ หลักฐานเหล่านี้มีทั้งจารึกและภาพสลักที่ทำสืบเนื่องต่อมาถึงยุคหลังๆ เช่น นครวัด นครธม  เป็นต้น
ประวัติความเป็นมาของการละเล่นมังคละเภรีนี้ ไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นในสมัยใด แต่มีข้อสันนิษฐานว่า อาจมีการเล่นกันอย่างแพร่หลายในสมัยสุโขทัย เนื่องจากเครื่องดนตรีมังคละเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับอิทธิพลมาจากเกาะศรีลังกา ซึ่งในสมัยสุโขทัยนั้นมีหลักฐานปรากฏถึงความความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับศรีลังกาโดยผ่านนครศรีธรรมาราช ซึ่งหลักฐานแห่งการเข้ามาของพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ คือ ตำนานเมืองนครศรีธรรมาราช ซึ่งถือว่าเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ว่าด้วยเมืองนครศรีธรรมาราช ที่กล่าวว่า
 ก็ปรากฏว่ามีพระสงฆ์เดินทางมาจากลังการ่วมมือด้วยและหัวหน้าสงฆ์รูปหนึ่งชื่อ
มหาพุทธคำเพียร(เภียร)” และข้อความว่า“...มหาพุทธคำเพียรก็ว่าอยู่ไสจะวิวาทกันนัก... จึงพร้อมด้วยบริวาร ...ให้แต่งสำเภา...” มายังนครศรีธรรมราช เสร็จแล้วคนสามกลุ่ม “...ก็ตริกันจะตั้งเมืองแห่ง   หาดทรายทะเลรอบโพ้น แล้วจะตั้งมฤคเจดีย์และพระพุทธรูปไว้ให้วันทนาในตำบลแห่งโพ้นตาม      พุทธคำเพียรสนทนาเถิง พระทันต (ธาตุ) พระพุทธเจ้านั้นแล...”
หลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่งที่บ่งชี้ว่าพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์มีอิทธิพลทั้งด้านศาสนาและศิลปกรรมต่อดินแดนไทย ได้แก่  สถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุแบบศิลปะลังกา คือทรงระฆังคว่ำ (หรือโอคว่ำ) ที่สร้างขึ้น โดยอาศัยพระสงฆ์และช่างจากศรีลังกามาเป็นต้นแบบในก่อสร้างด้วย และการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นี้ ได้ส่งผลให้พุทธศาสนาลัทธิเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่   ศรีลังกาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18  ได้แพร่ขยายและอยู่ในนครศรีธรรมราช และดินแดนคาบสมุทรไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 อาจกล่าวได้ว่า นครศรีธรรมราชคือศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่รับอิทธิพลจากอินเดียและลังกาแล้วส่งต่อมายังบ้านเมืองในภาคกลางและภาคเหนือ เพราะในตำนานพงศาวดารก็ได้ระบุให้เห็นชัดเจน ว่า นครศรีธรรมราชเกี่ยวข้องกับลังกาเป็นอย่างมาก การยอมรับการเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมของนครศรีธรรมราชจึงปรากฏในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่หนึ่ง ที่กล่าวว่า บรรดาพระเถระผู้ใหญ่ที่เรียกว่า “ปู่ครู” ในเมืองสุโขทัยนั้นล้วนมาจากเมืองนครศรีธรรมราชทั้งสิ้น ดังข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวว่า
“ปู่ครูลุกแต่ศรีธรรมราช”   และข้อความที่ว่า
             “สังฆราชปราชญ์เรียนปิฏกไตร หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราช”
นอกจากนี้ข้อความที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 และ 2 ได้บ่งแสดงอย่างชัดเจนว่า สุโขทัยมีความสัมพันธ์กับบ้านเมืองต่างๆที่ร่วมสมัยภายนอกมากมาย ทั้งทางเหนือ ทางตะวันออก และทางตะวันตก ในขณะเดียวกันทางใต้นั้นมีความสัมพันธ์กับแพรกศรีราชา สุพรรณภูมิ เพชรบุรี ราชบุรี เรื่อยลงไปจนถึงนครศรีธรรมราชและคาบสมุทรมลายู
หลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ตำนานพระพุทธสิหิงค์ ของพระโพธิรังสีที่กล่าวว่า  
ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ.1820-1860)มีพระภิกษุจากลังกา เดินทางเข้าสู่สยามประเทศ                        พ่อขุนรามคำแหงได้ทรงทราบถึงกิติศัพท์ที่เลื่องลือของพระพุทธสิหิงค์ ว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีพุทธลักษณะที่งดงาม จึงทรงขอให้พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช แต่งทูตเชิญพระสาส์นไปขอประทานพระพุทธสิหิงค์จากเจ้ากรุงลังกา และเนื่องด้วยเมืองทั้งสองมีการติดต่อสัมพันธ์อยู่กับลังกาอย่างใกล้ชิด จึงเป็นไปตามพระราชประสงค์ เมื่ออัญเชิญมาประดิษฐานที่นครศรีธรรมราช ได้มีการ จัดงานพิธีสมโภชใหญ่โตเป็นเวลา 7 วัน พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้ให้ช่างท้องถิ่นจำลองไว้บูชา1 องค์ พ่อขุนรามคำแหงได้เสด็จไปรับพระพุทธสิหิงค์ที่นครศรีธรรมราชด้วยพระองค์เอง แล้วทำการอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ ณ กรุงสุโขทัย
ข้อความข้างต้นสามารถสันนิษฐานได้ว่า มีการปะทะสังสรรค์กันทางด้านศาสนา และศิลปวัฒนธรรมระหว่างกรุงสุโขทัยกับศรีลังกาอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่บ่งบอกถึงการกำเนิดของดนตรีมังคละในหลักศิลาจารึกหลายหลัก (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.2537: 269) เช่น
จารึกหลักที่ 2 ศิลาจารึกวัดศรีชุม ด้านที่ 2 บรรทัดที่ 80-81 จารึกถึงพระมหาเถรศรีศรัทธาฯ ได้ปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุสุโขทัย ซึ่งพระธาตุได้แสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ว่า
“...พระเป็นเจ้าที่นั้นปาฏิหาริย์ได้สามสิบเอ็ดวัน
เหียมพระเป็นเจ้าปาฏิหาริย์ ดังอั้น เพื่อจักให้สำแดง
แก่คนทั้งหลายเพื่อให้ไปช่วยยอธรรมในลงกาทวีป...”
 จารึกหลักที่ 3 ศิลาจารึกนครชุม ด้านที่ 1 บรรทัดที่ 9 จารึกว่า พระมหาธรรมราชาลิไทย ได้ประดิษฐานพระศรีรัตนมหาธาตุ และได้ปลูกพระศรีมหาโพธิ์ซึ่ง
“...เอาลุกแต่ลังกาทวีปพู้น...”
บรรทัดที่ 46-50 จารึกไว้ว่า
“...เมื่อปีอันจักสิ้นศาสนาพระพุทธเจ้าที่สุดทั้งหลายทั้งอัน
 …แต่พระธาตุทั้งหลายอันมีในแผ่นดินนี้ก็ดี ในเทพโลกก็ดี
ในนาคโลกก็ดี เหาะไปกลางหาว และไปประชุมกันในลังกาทวีป...”
 จารึกหลักที่ 8 ศิลาจารึกเขาสุมนกูฏ กล่าวถึงพระมหาธรรมราชาลิไทที่ได้ทรงอัญเชิญรอยพระพุทธบาทไปประดิษฐานบนยอดเขาสุมนกูฏ โดยมีการจารึกไว้ว่า
“...ในลังกาทวีปพู้น มาประดิษฐาน ไว้เหนือจอมเขาอันนี้แล้ว...”
จากจารึกต่าง ๆ ที่กล่าวมา ทำให้เห็นร่องรอยและหลักฐานว่า ชาวเมืองสุโขทัยนั้นได้รับอิทธิพลทางด้านพุทธศาสนามาจากลังกา และนอกจากคำสั่งสอนแล้ว ด้านขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติ ที่ชาวศรีลังกาได้ประพฤติปฏิบัติต่อพระภิกษุและศาสนาที่สำคัญ ๆ ที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา เช่น พระมหาธาตุ รอยพระพุทธบาท ฯลฯ โดยการเคารพกราบไหว้ การประโคมแห่ด้วยดุริยางดนตรี ก็น่าจะมีการสืบทอดมาสู่ชาวเมืองสุโขทัยด้วยเช่นกัน
สุจิตต์  วงษ์เทศ ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับดนตรีมังคละเภรีว่า วงดนตรีได้พบเห็นเป็นวงดนตรีประจำชาติศรีลังกาที่สำคัญที่สุด เรียกตามตำราที่ได้จากอินเดียว่า วงดนตรี “ปัญจดุริยะ” แต่บางทีก็เรียกว่า “ปัญจาวทยะ” หรือ   “ปัญจดุริยางค์”ซึ่งเครื่องดนตรีที่เห็นทั้ง 5 ชนิดนั้น ประกอบด้วย
1.ปี่ คล้ายปี่ไฉน หรือปี่สรในของไทย
2.กลองใหญ่ขึง 2 หน้าตีหย่อน ๆ
3.กลอง 2 หน้า คล้าย ๆ กับกลองแขก
4.กลองเล็ก มีหน้าเดียว แต่มีสองลูกมัดคู่กัน ใช้ไม้ตีทำด้วยหวายขดตีให้เด้งได้ 2 อัน ถือ 2 มือ เหมือนไม้ตีขิม
5.ฉิ่ง แต่รูปร่าง และเสียงเหมือนฉาบเล็ก
ซึ่งทัศนะดังกล่าว มีความสอดคล้องกับอาจารย์ ธนิต อยู่โพธิ์ ที่ได้อธิบายถึง คำว่า “ดูรยะ” จากคำว่า “ดูรยพาท” ในศิลาจารึก หลักที่ 8 นั้น เป็นคำสันสกฤตแผลง คือ “ดูรยะ” แผลงจากคำ  “ตุรยะ” หรือ “ตูริยะ” มีในภาษาสันสกฤต ถ้าบาลีรูปคำเป็น “ตุริยะ” มีกล่าวถึงในคัมภีร์บาลีหลายแห่งและในคัมภีร์อรรถกถา จำแนก “ตุริยะ” ไว้ให้เห็นได้ว่า เป็นเครื่องตีและเครื่องเป่า 5 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 “อาตยะ” คือ เครื่องตีที่ขึงหนังหน้าเดียว เช่น โทน รำมะนา กลองยาว
ประเภทที่ 2 “วัตตะ” คือ เครื่องตีที่ขึงหนังสองหน้า เช่น บัณเฑาะว์ กลองทัด
ประเภทที่ 3 “อาตตะวัตตะ” คือ เครื่องตีที่ขึงหนังทั้งตัว เช่น ตะโพน เปิงมางสองหน้า
ประเภทที่ 4 “ฆนะ” คือ เครื่องตีที่เป็นท่อนเป็นแผ่น เช่น ฆ้องโหม่ง ฉิ่ง ฉาบ กรับ
ประเภทที่ 5 “สุสิระ” คือ เครื่องเป่าที่เป็นรูโพรง เช่น สังข์ ปี่ ขลุ่ย
    ตุริยะ 5 ประเภทนี้ ในอินเดียแต่โบราณกาลมา เขาเลือกคัดเลือกประเภทของเครื่องเข้าเล่นร่วมวงกัน เรียกว่า “ปัญจังคกะดุริยะ” เราแผลงคำชั้นแรกเป็น “ปัญจางคิกดุริย” หรือใช้กลับคำเป็น “บัญจดุริยางค์” แล้วแผงเป็นบาลีไทยว่า “เบญจดุริยางค์” ซึ่งหมายถึง วงดนตรที่ประกอบไปด้วยเครื่องตีและเครื่องเป่า 5 อย่าง จะเห็นได้ว่าเครื่องตีและเครื่องเป่าทั้ง 5 อย่างนี้ ไทยได้รับแบบแผนมาจากอินเดียและเป็นต้นกำเนิดของดนตรีที่ใช้กับพิธีกรรมมาแต่โบราณ และได้มีการพัฒนาการปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นวงดนตรีต่าง ๆ
รูปแบบของวงดนตรีที่กล่าวมานั้น เท่าที่ได้สังเกตน่าจะเป็นวงดนตรีหลักของประเทศศรีลังกา ส่วนที่จะพลิกแพลงเพิ่มเติมมักอยู่ที่กลอง คือ เพิ่มกลองเข้าไปอีกหลาย ๆ ลูกก็ได้  แต่ตามประเพณีแล้วถือเอาเครื่องดนตรี 5 ชิ้นนี้เป็นหลัก งานทุกงานใช้วงดนตรีนี้ทั้งหมดและเรียกชื่อเดียวกันว่า  “ปัญจดุริยะ” หรือ “ปัญจวาทยะ” แต่มีชื่อจำแนกออกไปอีกตามลักษณะงานและลักษณะเพลงที่บรรเลง คือ
1.  ถ้าบรรเลงในงานมงคล เช่น ประโคมรับพระหรือประโคมบูชาพระเขี้ยวแก้ว เรียกว่า “มังคละเภรี”
2.  ถ้าไปบรรเลงงานศพ จะเรียกว่า “อวมังคละเภรี” ลักษณะของการบรรเลง คือ ปี่ เป็นเครื่องบรรเลงนำทำนอง เคลื่อนไหวโหยหวนช่วงสั้น ๆ วนไปวนมาบ้างหยุดพักบ้าง ส่วนกลองตีขัดกันดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด
สุจิตต์  วงษ์เทศ เสนอทัศนะต่อไปว่า ถ้าจะเปรียบเทียบกับของไทยแล้ว “มังคละเภรี” ของลังกาเป็นอย่างเดียวกับ “วงกาหลอ” ของภาคใต้และ “วงมังคละ” ของสุโขทัย-พิษณุโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยรับมาจากลังกาหรือลังการับไปจากไทย แต่หมายความว่ามีต้นตออันเดียวกันคือ “ปัญจดุริยางค์” จากอินเดีย
การที่วงดนตรีของท้องถิ่นสุโขทัย-พิษณุโลก เรียกวง “มังคละ” นั้น ไม่อาจสรุปได้ว่าประเทศไทยนั้นรับแบบแผนดนตรีประเภทนี้มาจากศรีลังกา แต่เป็นไปได้มากที่จะรับชื่อเรียกตามประเพณีมาจากลังกา ในคราวที่ลังกาอาราธนาพระอุบาลีไปเผยแผ่สยามนิกายในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ประเด็นนี้ก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดทั้งสิ้น
สุกรี เจริญสุข ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับดนตรีมังคละเภรีไว้ว่า “ดนตรีมังคละ เป็นดนตรีพื้นบ้านของชาวสยามในลุ่มน้ำยม-น่าน ในจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัยและอุตรดิตถ์เชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดียตอนใต้ และประเทศลังกา ที่เรียกว่า เบญจดุริยางค์ (ในประเทศลังกาเรียกว่า “ปัญจวาทยะ” และภาษาอินเดียตรงกับคำว่า Paneaturiyanha ซึ่งแปลว่า เครื่องห้า) ในปัจจุบัน ประเทศศรีลังกายังคงใช้ดนตรีประเภทนี้ประโคมแห่รับ-ส่งพระและยืนตีเป่าประโคม พระวิหารพระเขี้ยวแก้วที่เมืองแคนดี.”
 หลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในจดหมายเหตุระยะทางไปพิษณุโลก  พระนิพนธ์ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  เมื่อปี พ.ศ. 2444 ความว่า
“เวลาบ่าย  4  โมง  40  นาที  ไปวัดมหาธาตุ  อยู่ฝั่งตะวันออกตรงข้ามกับที่ว่าการมณฑล  นมัสการพระชินราชแล้วดูธรรมมาสน์เทศน์   ธรรมมาสน์สวด   ดูเรือนแก้ว   สิ่งทั้งปวง   เหล่านี้ล้วนเป็นของดีอย่างเอก  ไม่เคยพบเคยเห็น  จะพรรณนาก็จะมากความนักคิดว่าจะพรรณนาเวลาอื่น    เพราะจะดูอีก  ดูวันนี้เป็นการรีบ ๆ  ผ่าน ๆ  แลจดหมายเวลาจะนอนคงจะหยาบไปมากไม่สมกับของดี  ดูในวิหารแล้วมาดูรูปพระชินราชจำลอง    ติเตียนปฤกษากับหลวงประสิทธิ์ปฏิมาอยู่จนจวนค่ำแล้ว   ดูบานประตูมุก ดูพระระเบียงนอก  ระเบียงใน  ดูวิหารพระชินศรีจำลอง  ดูมณฑปด้วยได้ไม้สลัก    หัวนาคจำแลง  ที่จะเป็นหัวบันไดธรรมมาสน์อันหนึ่ง  ได้นาคปักเป็นหัวมังกรทำด้วยดินเคลือบอันหนึ่ง  เวลาทุ่ม 1  กลับมาถึงเรือ
พอกินข้าวแล้ว  พระยาเทพามาบอกว่า  มังคละมาแล้ว  ลืมเล่าถึงมังคละไป  คืนวันเมื่อพักอยู่ที่ไทรโรงโขน  ได้ยินเสียงไกล ๆ  เป็นกลองตีเป็นเพลง  แต่จะสังเกตว่าเป็นอะไรไม่ได้  รุ่งขึ้นกำลังเดินเรือมาตามทาง  ได้ยินอีกหนหนึ่ง  ทีนี้ใกล้เขาแห่นาคกันอยู่ริมตลิ่ง  แต่ไม่แลเห็นอะไรเพราะพงบังเสีย  นึกเอาว่าเถิดเทิงเลวอยู่มาก  ก็นึกเสียว่า  เถิดเทิงบ้านนอกมันคงลักขูอยู่เอง  ครั้นมาจอด
ที่วัดสะกัดน้ำมัน  ได้ยินอีกไกล ๆ  จึงได้ถามท่านสมภารว่าอะไร  ท่านสมภารอธิบายว่า  ปี่พาทย์ชนิดหนึ่งเรียกว่ามังคละ  พระยาเทพาอยู่ที่นั่นด้วย  ก็เลยอธิบายว่า  เป็นกลองคล้ายสองหน้า  มีฆ้องมีปี่ ปี่พาทย์ชนิดนี้เล่นไม่ว่าการมงคลแลการอัปมงคล  หากันวันกับคืนหนึ่งเป็นเงิน  7  ตำลึง  จึงได้ขอให้พระยาเทพาเขาเรียกมาตีให้ฟัง  เมื่อเขาจัดมาแล้วเขาจึงมาบอก  ได้ขึ้นไปดูมังคละ  ทีแรกตีเพลงนมยานกทกแป้งฤาอะไรแป้ง  จำไม่ได้ถนัดที่เขาบอก  เครื่องมังคละนี้เป็นเครื่องเบญจดุริยางค์แท้ มีกลองเล็กรูปเหมือนเถิดเทิงแต่สั้น  ขึงหนังหน้าเดียวมีไม้ตียาว ๆ  (ที่หมาย 1)  ตรงกับ  “วาตต” ใบหนึ่งมีกลองขึงสองหน้า  เหมือนกลองมลายู  เป็นตัวผู้ใบหนึ่ง  ตรงกับ  “วิตตํ”  เป็นตัวเมียใบหนึ่งตรงกับ  “อาตตวิตตํ”  มีไม้ตีตรง ๆ  (ที่หมาย 2)  กลองสามใบนี้ต้องหุ้มผ้าดอกเหลือไว้แต่หน้าเพราะเขาว่าฝีมือขึ้นแลฝีมือทำหุ่นดูไม่ได้  และมีปี่คันหนึ่ง  ตัวเป็นทำนองปี่จีน  ลิ้นเป็นปี่ชวา  ตรงกับ “ สุสิรํ”  มีฆ้องแขวนราว  3  ใบ  เสียงต่าง ๆ  กันตรงกับ  “ฆนํ”  เสียงเพลงนั้นเหมือนกลองมลายู เข้ากับกลองเล่าโต๊ว  ไม่น่าฟังแปลว่าหนวกหูเพลงปี่ก็ไม่อ่อนหวานเป็นทำนองลูกเล่นมากกว่า  เพราะลองให้ตีดู  2  เพลงหนวกหูเต็มทีเลยให้อัฐไล่มันไปบ้านแล้วกลับลงมานอน”
มังกร ทองสุขดี  ได้กล่าวถึงลักษณะของดนตรีพื้นบ้านมังคละว่า “มังคละนั้นเป็นการละเล่นพื้นบ้าน  มาตั้งแต่ยุคสุโขทัยเป็นราชธานี เป็นดนตรีที่สืบทอดมาทางพระพุทธศาสนาจากศรีลังกาเข้าสู่นครศรีธรรมราชและสุโขทัย โดยเฉพาะในรัชสมัยพระยาลิไท อาราธนาและต้อนรับ พระสังฆราชเข้ามาพำนักที่วัดป่ามะม่วงด้วยการปูผ้าแพร 5 สี ให้พระสังฆราชเดินตามขบวนกลองมังคละตั้งแต่
ประตูเมือง ด้านหัวนอนจนถึงวัดที่พำนัก ซึ่งแต่เดิมนั้นกลองมังคละจะเล่นประกอบพิธีอันเป็นมงคลของพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะว่ามังคละ หมายถึง “มงคล” (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน     พ.ศ. 2542 :850) ซึ่งพอจะรวมเป็นสาระสำคัญได้ว่า มังคละนั้นเป็นดนตรีที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี เมื่อนานกว่า 700 กว่าปีมาแล้ว
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ทั้งหลักศิลาจารึก ตำนาน จดหมายเหตุ ฯลฯ สามารถสันนิษฐานถึงกำเนิดของมังคละเภรีในประเทศไทยได้ว่าได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากลังกาในสมัยอาณาจักรสุโขทัย ช่วงการครองราชย์ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ประโคมแห่นำขบวนพระเพื่อเป็นพุทธบูชา และต่อมามีพัฒนาการไปสู่การบรรเลงประกอบในงานพิธีต่างๆ ทั้งงานมงคลและงานอวมงคล






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น